วันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ปัญหาสุขภาพของเด็กปฐมวัย

e_01.pngปัญหาสุขภาพของเด็กปฐมวัย

ปัญหาสุขภาพด้านร่างกายของเด็กปฐมวัย 
         เด็กไทยในยุคดิจิตอลแตกต่างอย่างมากจากสมัยที่คุณพ่อคุณแม่ยังเด็ก และแทบจะไม่มีอะไรเหมือนกับเด็กสมัยคุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยาย ทั้งนี้เพราะอาหารการกินเปลี่ยนไป เด็กของเรากินนมวัวมากขึ้น กินอาหารขยะมากขึ้น บางคนชอบอาหารฝรั่งฟาสต์ฟู้ด แต่ไม่ยอมกินอาหารไทยประเภทน้ำพริกผัก เด็กของเรายังเอาแต่นั่งหน้าจอโทรทัศน์ เล่นเกมคอมพิวเตอร์ เอาแต่กวดวิชา ไม่มีเวลาออกกำลังกาย ผิดกับเด็กสมัยก่อนที่มีโอกาสวิ่งเล่นกลางแจ้ง ได้ทั้งอากาศบริสุทธิ์ และได้เคลื่อนไหวสำรวจโลก  เมื่อทุกอย่างเปลี่ยนไป สุขภาพเด็กสมัยนี้จึงไม่เหมือนกับเด็กรุ่นก่อน ซึ่งสามารถจำแนะปัญหาสุขภาพของเด็กปฐมวัยออกเป็นกลุ่มได้ดังนี้ 
กลุ่มตุ้ยนุ้ย
          เด็กกลุ่มนี้รูปร่างใหญ่ ส่วนมากมีน้ำหนักมาก กลายเป็นคนจ้ำม่ำ ซึ่งผู้ใหญ่บางคนอาจจะเห็นว่าเด็กอ้วนนั้นน่ารัก และมักจะภูมิใจที่พอเอาเด็กไปชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูงแล้วพบว่าตัวเลขออกมาเกินมาตรฐาน หลงคิดว่าตัวเองเลี้ยงลูกหลานมาดี  แต่ความจริงนั้น เด็กอ้วนคนไหนคนนั้นข้างในกลวงโบ๋ ไม่แข็งแรง ไม่แกร่ง และอาจจะมีปัญหาอื่นๆ ตามมาเช่นภูมิแพ้ เด็กอ้วนทำอะไรก็ต้วมเตี้ยม ไม่กระฉับกระเฉง บุคลิกไม่ดี แถมมีงานวิจัยในสิงค์โปยืนยันว่าเด็กอ้วนจะฉลาดสู้เด็กปกติไม่ได้ 
กลุ่มขี้มูกไหล
         เด็กกลุ่มนี้มีอาการแพ้อากาศ พออากาศเปลี่ยน อุณหภูมิเย็นลง ฝนตก เข้าห้องแอร์หน่อยก็เกิดอาการฟุดฟิด คันจมูก น้ำมูกไหล บางคนมีผื่นแพ้ด้วย ต้องกินยาทั้งปี แต่ก็แก้ปัญหาได้แค่ทุเลาอาการลง ไม่หายขาด การกินยาแก้แพ้เป็นประจำจะทำให้เบื่ออาหาร กินข้าวไม่ได้ ตัวก็เลยเล็กแกร็น ผอมแห้ง เวลานอนก็นอนกรนเพราะทางเดินหายใจมันบวมตลอดเวลา บางคนแพ้อากาศมากอาการบวมลามเลยไปถึงหลอดลม ทำให้หายในหอบเวลามีอาการกำเริบ ต้องพ่นยาขยายหลอดลมทุกวัน หรือจะไปไหนทีก็ต้องพกยาพ่นไปด้วยให้เป็นที่น่ารำคาญ เวลาวิ่งเล่นไล่จับกับเพื่อนๆ หรือเวลาเล่นพละที่โรงเรียนจะเหนื่อยง่ายกว่าคนอื่น ทำให้เสียโอกาสเล่นสนุกอย่างเต็มที่ เวลาจะไปค้างแรมที่ไหน แม่กับพ่อก็จะเป็นห่วงแทบแย่ สั่งเสียอยู่นั่นแล้ว จนเด็กเองนั่นแหละที่รำคาญ และมักพลอยเห็นว่าตัวเองปวกเปียก อ่อนแอ ทำให้เกิดปมด้อยในใจไม่มากก็น้อย
กลุ่มผิวลาย
         เด็กกลุ่มนี้มีอาการของภูมิแพ้ของผิวหนัง ผิวระคายเคืองงาย มีจุดกระดำกระด่าง มีตุ่มขึ้นบนผิวหนังเป็นประจำ บางคนถูกหาว่าแพ้น้ำลายยุง บางคนเป็นลมพิษคันคะเยอ ไปไหนก็เกายิกๆ ทำให้เสียบุคลิก บางคนมีผิวกร้าน หยาบและแห้ง ผิวที่มีปัญหาจะบดบังผิวอ่อนนุ่มของเด็กๆไปจนหมด อย่าลืมว่าผิวหนังของเราเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดของร่างกาย ผิวหนังของเราเป็นส่วนที่ใครๆ ก็มองเห็นได้ชัดที่สุด ดังนั้นหากผิวสวยเราก็จะดูดีและสวยได้ แต่ต่อให้หน้าสวยเท่าไรแต่ผิวลายไปทั้งแขนขา จะดูน่ารักไปได้อย่างไรกัน ลองสำรวจเด็ก 2 กลุ่มหลังนี้ดู เด็กมักจะไม่ได้กินนมแม่ แต่กินนมวัวมาตั้งแต่เล็ก กินผลิตภัณฑ์จากนมวัว แล้วแพ้โปรตีนจากนมวัวนั่นแหละ วิธีแก้ปัญหาของเด็กกลุ่มนี้จึงน่าจะอยู่ที่งดนมวัวและผลิตภัณฑ์จากนมวัวอย่างเด็ดขาด แล้วอาการของภูมิแพ้ ทั้งอาการแพ้อากาศ และผื่นแพ้จะค่อยๆหายไปเอง 
e_02.pngกลุ่มก่อกวน
         เด็กกลุ่มนี้จัดอยู่ในกลุ่มเด็กดื้อ เด็กซนเกินกว่าเหตุ ก้าวร้าว อยู่นิ่งไม่ได้ อยู่ที่ไหนก็จะเกิดความโกลาหลวุ่นวายไปหมด อาจจะเรียกได้ว่าสมาธิสั้น โดยมากจะเรียนหนังสือไม่ได้ เดินวนรอบโรงเรียนทั้งวัน ชอบแกล้งเพื่อน แหย่คนโน้นทีคนนั้นทีจนทั้งห้องเรียนไม่เป็นอันต้องทำอะไร ครูก็อิดหนาระอาใจจนอยากให้ขึ้นชั้นไปเร็วๆ  ทุกวันนี้หากต้องการหากให้เด็กกลุ่มนี้สงบลงได้ ก็ต้องใช้ยาเคมีช่วย เมื่อกินยาก็ทำให้มึนซึม หัวไม่แล่น คิดไม่เป็น ฤทธิ์ยาจะทำให้นั่งเฉยๆ เหมือนกับยอมเรียนหนังสือได้ เหมือนกับเป็นเด็กดีไม่ค่อยแกล้งใคร แต่เชื่อเถอะว่าเด็กจะคิดอะไรไม่ออก จำอะไรไม่ค่อยได้ เป็นเหตุให้เวลาสอบก็ทำคะแนนได้ไม่ค่อยดี  ที่จริงอาการนี้เกิดขึ้นเพราะเด็กกลุ่มนี้กินน้ำตาลหวานๆ เป็นปริมาณมาก แต่ที่แท้การเผาผลาญน้ำตาลในร่างกายจะต้องใช้วิตามินบีปริมาณมาก เมื่อสมองของเด็กถูกแย่งวิตามินบีไปใช้ สมองจะขาดสื่อนำประสาท แล้วจะให้เด็กควบคุมตัวเองได้อย่างไร วิธีแก้จึงอยู่ที่น่าจะงดน้ำตาลและของหวานทั้งหมด หากอยากกินอะไรหวานบ้างก็ควรใช้ผลไม้แทน 
กลุ่มหวานมัน
        เด็กกลุ่มนี้นิยมกินอาหาร กินขนมที่มีรสหวานจัด ได้รับไขมันจากอาหารสูงมาก กินนมวัววันละหลายๆ แก้ว บางคนกินนมแทนน้ำด้วยซ้ำ ด้วยความเข้าใจผิด กินเนย กินครีม กินข้าวขาหมู ข้าวมันไก่ นิยมกินขนมหวานๆ มันๆ เช่น ข้าวเหนียวมะม่วง ลอดช่องน้ำกะทิ จนไขมันที่ได้จากอาหารการกินล้นเกินมากกว่าร่างกายจะใช้ได้หมด ทำให้มีคอเลสเตอรอลในเลือดสูงตั้งแต่เด็กๆ บางคนเป็นตั้งแต่ชั้นอนุบาลด้วยซ้ำ แต่ก็นั้นแหละอาการของไขมันในเลือดสูงในเด็กมักจะไม่มีอาการแสดงอย่างอื่นเลย จะรู้ได้ก็ต้องเจาะเลือดตรวจเท่านั้น อาการไขมันในเลือดสูงมักจะพบในเด็กอ้วน แต่เด็กที่มีน้ำหนักปกติ หากกินไม่ถูกต้องก็จะมีไขมันในเลือดสูงได้ด้วย เด็กคนไหนมีไขมันในเลือดสูงก็จะมีอัตราเสี่ยงต่อโรคของหลอดเลือดมากกว่าเพื่อนๆเขา  หากปรับเปลี่ยนอาหาร ลดไขมันลง ให้เด็กออกกำลังกายกลางแจ้งมากขึ้นก็จะแก้ปัญหานี้ได้
กลุ่มฟันผุ
เด็กกลุ่มนี้มีฟันผุ เพราะชอบกินขนมกรุบกรอบ กินอาหารขยะเป็นประจำ ทำให้เศษแป้งเศษน้ำตาลติดฟันเป็นอาหารของแบคทีเรีย หรือแมงกินฟัน ทำให้เคลือบฟันไม่แข็งแรง แถมเจ้าตัวยังแปรงฟันไม่เป็น แปรงฟันไม่ถูกวิธี บางคนขี้เกียจแปรงฟันเสียอีก ก็เลยเกิดรูขึ้นมาในฟันเป็นสีดำๆ ไม่น่าดู แถมบางครั้งเป็นสาเหตุของอาการปวดฟันด้วย(เบญจมาศ   กลิ่นดี. ออนไลน์. 2553)
e_03.png 


โรคที่เกิดขึ้นบ่อยกับเด็กปฐมวัย
อีพิเดอร์โมไลซิส บูลโลซา
          อีพิเดอร์โมไลซิส บูลโลซา เป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม สาเหตุเกิดจากการแยกตัวระหว่างหนังกำพร้าและหนังแท้ ที่ปกติจะมีตัวเชื่อมกัน แต่ถ้ารอยเชื่อมเกิดความอ่อนแอ จะทำให้เกิดช่องว่าง น้ำเหลืองที่จะไปเลี้ยงผิวหนังกำพร้าก็ไปไม่ได้ มันก็จะไปขังอยู่บริเวณรอยแยก ทำให้เกิดเป็นตุ่มพองน้ำขึ้นมา หนังกำพร้าก็ถูกดัน เมื่อบางอยู่แล้วก็จะแตกเป็นแผล มีน้ำเหลืองไหลออก มา ถ้ารอยโรคลงลึกถึงหนังแท้ก็จะมีปัญหาว่าเวลาแผลหายจะเกิดเป็นแผลเป็น แต่ถ้าเป็นแผลบริเวณตื้น ๆ คือ บริเวณหนังกำพร้าจะไม่ค่อยมีแผลเป็นเท่าไหร่  รอยเชื่อมที่อ่อนแอมีอยู่หลายจุดด้วยกัน โดยอาจเกิดจากเซลล์ที่อยู่ใต้หนังกำพร้าอ่อนแอ หรือ เซลล์ที่สร้างจากหนังแท้ที่จะต่อเชื่อมกับหนังกำพร้าอ่อนแอก็ได้ แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาเหมือนกัน คือ น้ำเหลืองจากหนังแท้จะไปเลี้ยงหนังกำพร้าไม่ได้ ทำให้เป็นตุ่มพองน้ำ ซึ่งโรคนี้มีทั้งที่เป็นยีนเด่นและยีนด้อย ถ้าเกิดเป็นยีนด้อยความรุนแรงของโรคจะมากกว่ายีนเด่น  ในกรณีที่เป็นรุนแรง ผิวหนังได้รับการเสียดสี หรือกระแทกนิดหน่อย ก็จะเป็นตุ่มพองน้ำขึ้นมา โดยเฉพาะในเด็กมีการเคลื่อนไหว คลาน เดิน หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งเด็กมักจะซุกซนหกล้มอยู่แล้วก็จะทำให้เกิดปัญหาขึ้น หรือบางคนเป็นรุนแรงตั้งแต่คลอดออกมา เนื่องจากก่อนคลอดก็จะมีการเสียดสีกับช่องคลอด ก็ทำให้เกิดปัญหาได้ เพราะโรคนี้แม้จะถูกเสียดสีเพียงเบา ๆ ก็จะเกิดการแยกตัวระหว่างหนังแท้และหนังกำพร้า  ในเด็กบางรายที่เป็นรุนแรงอาจเสียชีวิตตั้งแต่เกิด หรือเกิดมาพร้อมกับรอยแผล ตุ่มพองตามร่างกาย ทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย หรือเด็กบางรายมีแผลในช่องปาก ทำให้ดื่มนม ดื่มน้ำไม่ได้ แต่ในรายที่เป็นรุนแรงน้อย อาจจะมาปรากฏอาการตอนที่เด็กมีกิจกรรมเคลื่อนไหว  ต้องถือว่าในบ้านเราโรคนี้พบได้น้อย ปีหนึ่งพบประมาณ 2-3 ราย แต่ในคนที่มีอาการแล้วก็จะมีอาการตลอดไป บางคนเมื่อโตขึ้นอาการอาจดีขึ้น เพราะระมัดระวังตัวมากขึ้น ไม่ได้ทำกิจกรรมซุกซนเหมือนกับเด็ก
        การรักษาโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด แต่ผู้ป่วย ตลอดจนพ่อแม่ผู้ปกครองเด็กต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษ พยายามป้องกันอย่าให้เกิดการกระทบกระแทก เสียดสี หรือบาดเจ็บบริเวณผิวหนัง อย่างไรก็ตามได้มีความพยายามในการค้นคว้าวิจัยหาความผิดปกติของยีนว่าเกิดตรงจุดไหนอย่างไร เพื่อจะได้รักษาได้ตรงจุด  ส่วนการรักษาบาดแผลภายนอกแพทย์จะให้การรักษาไปตามอาการ กรณีที่มีบาดแผลเพื่อป้องกันมิให้เกิดการติดเชื้อ ก็ให้ยาปฏิชีวนะ นอกจากนี้แพทย์อาจให้วิตามินอีรับประทานร่วมด้วย แต่ก็พูดยากว่าได้ผลหรือไม่ คือ มีความพยายามจะให้กินวิตามินอีในขนาดที่สูงมาก แต่เนื่องจากคนที่เป็นโรคนี้มีจำนวนน้อย การทดลองให้วิตามินอีก็ไม่ได้ให้ทุกราย ดังนั้นก็พูดยากว่าได้ผลหรือไม่ได้ผล
e_04.pngสิ่งที่อยากให้ความรู้กับคู่สมรส คือ หากมีใครคนใดคนหนึ่งเป็นโรคนี้ โอกาสที่ลูกเกิดมาจะเป็นโรคนี้ก็มีความเสี่ยง ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์ก่อนมีบุตร แต่เนื่องจากพ่อแม่บางคนไม่มีอาการมาก่อน กรณีที่เด็ก เกิดมาแล้วเป็นโรคนี้ก็ไม่รู้ว่ามียีนที่แอบแฝงมาในพ่อแม่หรือไม่ หรือว่าเมื่อสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงก็อาจทำให้เกิดโรคนี้ หรืออาจจะเกิดการกลายพันธุ์เกิดขึ้นในช่วงของเด็กก็เป็นได้(อิพิเดอร์โมไลซิส บูลโลซา. ออนไลน์. 2554)

ฟีนิลคีโตนูเรีย โรคต้องห้ามกินอาหารโปรตีน

       
โรคฟีนิลคีโตนูเรีย (phenylketonuria) หรือ PKU เป็นโรคทางพันธุกรรมที่มีการถ่ายทอดแบบยีนด้อย เกิดจากความผิดปกติของเอ็นไซม์ที่ใช้ในการย่อยสลายสารฟีนิลอะลานีนเสียไป ซึ่งสารดังกล่าว มีอยู่ในอาหารที่เป็นโปรตีนทุกชนิด เช่น เนื้อสัตว์ นม ไข่ ถั่ว ดังนั้นคนที่เป็นโรคนี้จึงไม่สามารถกินอาหารโปรตีนเหมือนคนทั่วไปได้ ทำให้ร่างกายสะสมสารฟีนิลอะลานีน หากสะสมมาก ๆ จะไปทำลายเซลล์สมอง ทำให้เกิดภาวะปัญญาอ่อน
         โรคฟีนิลคีโตนูเรียมักพบได้บ่อยในคนผิวขาว อุบัติการณ์ประมาณ 1 ต่อ 1 หมื่นในคนผิวขาว ประเทศไทยพบน้อยประมาณ 1 ต่อ 2 แสน ปีหนึ่งพบทารกแรกเกิดเป็นโรคนี้ประมาณ 4 ราย หากไม่ได้รับการตรวจวินิจฉัยและรักษา ทารกจะมีพัฒนาการช้า ปัญญาอ่อนขั้นรุนแรง แต่ในปัจจุบันทารกแรกเกิดในประเทศไทยกว่า 95% ได้รับการตรวจกรองทารกแรกเกิด สำหรับโรคฟีนิลคีโตนูเรีย และภาวะไทรอยด์ต่ำแต่กำเนิด โดยทางโรงพยาบาลจะทำการเก็บตัวอย่างเลือดด้วยการเจาะส้นเท้าของทารกหยดลงบนกระดาษซับกรอง และส่งตรวจที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งการตรวจคัดกรองด้วยวิธีนี้ทำมาเป็น 10 ปีแล้ว
        การเก็บตัวอย่างเลือดส่งตรวจมักจะรู้ผลอย่างช้าที่สุดภายใน 1 เดือน หากพบว่าฟีนิลอะลานีนในเลือดมีค่าเกิน 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ แสดงว่าเป็นโรคฟีนิลคีโตนูเรีย โดยในคนปกติ ระดับของสารฟีนิลอะลานีนจะต่ำกว่า 2 มิลลิ  กรัมเปอร์เซ็นต์ แต่ในรายที่เป็นโรคไม่รุนแรง ระดับของสารฟีนิลอะลานีนอาจจะมีค่าต่ำกว่า 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ โดยอาจจะอยู่ที่ 5 หรือ 10 หรือ 12 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งอาจจะทำให้ระดับไอคิวต่ำกว่าคนปกติ 
         ทั้งนี้เมื่อตรวจวินิจฉัยแล้วว่าทารกเป็นโรคฟีนิลคีโตนูเรีย จุดประสงค์ในการรักษาก็เพื่อลดระดับของฟีนิลอะลานีนลง เพื่อป้องกันความเสียหายต่อเซลส์สมอง ดังนั้นจึงควรเริ่มต้นให้การรักษาทันทีหลังการวินิจฉัย โดยปรับระดับฟีนิลอะลานีนที่เหมาะสมให้มีค่าต่ำกว่า 6-8 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ เพื่อให้มีการเจริญเติบโตและพัฒนาการที่ปกติ เพราะฉะนั้นทารกแรกเกิดที่เป็นโรคฟีนิลคีโตนูเรีย ต้องดื่มนมพิเศษที่สกัดฟีนิลอะลานีนออกไป ซึ่งนมส่วนใหญ่เป็นนมที่ได้รับการบริจาคโดยบริษัทนมผงขนาดใหญ่ ขณะเดียวกันร่างกายก็ยังจำเป็นต้องได้รับสาร  ฟีนิลอะลานีนอยู่ ดังนั้น ทารกที่เป็นโรคนี้จึงต้องดื่มนมพิเศษผสมกับนมธรรมดา เมื่อโตขึ้นก็หลีกเลี่ยงอาหารที่มีฟีนิลอะลานีนสูง ซึ่งทารกก็สามารถมีพัฒนาการและระดับสติ ปัญญาเหมือนกับคนปกติได้ ในการที่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาช้า อาจทำให้ผู้ป่วยมีภาวะสติปัญญาอ่อนที่ไม่สามารถแก้ไขได้ 

หมากฝรั่งเป็นอันตรายสำหรับคนเป็นโรคนี้ เนื่องจากหมากฝรั่ง มีการใช้แอสปาแตมเป็นวัตถุที่ให้ความหวานแทนน้ำตาล ซึ่งแอสปาแตมมีฟีนิลอะลานีนสูง หากผู้ป่วยรับประทานเข้าไปอาจทำให้เกิดปัญหาได้ ทั้งนี้คงเป็นเพราะหมากฝรั่งมีต้นตอการผลิตมาจากต่างประเทศ ซึ่งในต่างประเทศคนผิวขาวป่วยด้วยโรคนี้เยอะ ดังนั้นเมื่อมีการพิมพ์คำเตือนออกมาก็ใช้ก๊อบปี้คำเตือนเดียวกัน
  
การป้องกันโรคนี้ได้ หากเคยมีบุตรมีภาวะปัญญาอ่อนมาแล้ว และตรวจพบว่าเป็นโรคนี้ ถ้ามีบุตรคนต่อไปควรมาพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยก่อนคลอด หรือ เมื่อคลอดแล้วประเทศไทยก็มีการตรวจคัดกรองโรคดังกล่าวนี้อยู่แล้ว การวินิจฉัยแต่เนิ่น ๆ จะทำให้รักษาได้ทันท่วงทีและป้องกันภาวะปัญญาอ่อนได้ โดยการควบคุมอาหาร(ฟีนิลคีโตนูเรีย โรคต้องห้ามกินอาหารโปรตีน. ออนไลน์. 2549)
e_05.png 



5 ขวบแล้วแต่ยังฉี่รดที่นอน
        ลูกอายุ 5 ขวบ ก่อนนอนตอนกลางคืนก็ปัสสาวะแล้ว แต่ก็ยังปัสสาวะรดที่นอนอยู่ ทั้งที่ไม่ได้กินนมขวดแล้ว ถือว่าผิดปกติไหมคะ แล้วปกติเด็กจะควบคุมตัวเองได้ตั้งแต่อายุเท่าไร
        ทราบข้อมูลเพียงเท่านี้ หมอยังให้คำตอบไม่ได้ค่ะว่าผิดปกติหรือไม่ เพราะสิ่งที่อยากรู้ให้แน่ชัดมีอีกหลายอย่าง เช่น น้องปัสสาวะรดที่นอนมาตั้งแต่เด็กจนปัจจุบัน หรือเคยหยุดปัสสาวะรดที่นอนไปแล้วแต่กลับมาเป็นใหม่ ช่วงกลางวันน้องปัสสาวะราดด้วยหรือเปล่า และอาการผิดปกติอื่นๆ ของระบบการขับถ่ายปัสสาวะ เช่น ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะเล็ด เพราะสาเหตุของการปัสสาวะรดที่นอนนั้น มีได้หลายสาเหตุแตกต่างกันไปค่ะ
 ปัจจัยที่อาจเป็นสาเหตุของการปัสสาวะรดที่นอน ได้แก่
 1. พันธุกรรม จากการศึกษาประวัติครอบครัว พบว่าถ้าคุณพ่อหรือคุณแม่เคยมีปัสสาวะรดที่นอน ลูกมีโอกาสเกิดได้ 40-45% ถ้าทั้งคุณพ่อและคุณแม่เคยมีปัสสาวะรดที่นอน พบการเกิดปัสสาวะรดที่นอนในลูกได้ถึง 70%
e_06.png2. ความสามารถในการควบคุมการขับถ่ายล่าช้า หรือมีความผิดปกติ เพราะความสามารถในการควบคุมการปัสสาวะได้ เป็นส่วนหนึ่งของพัฒนาการปกติของเด็ก โดยทั่วไปเด็กควรจะคุมการปัสสาวะตอนกลางคืนได้เมื่ออายุ 5 ปี หากมีปัญหาที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการที่ล่าช้า อาจทำให้เกิดการปัสสาวะรดที่นอนได้
3. ปริมาณปัสสาวะมากตอนกลางคืน อาจเกิดจากการดื่มน้ำหรือนมมากเกินไปก่อนนอน หรือมีความผิดปกติของการทำงานของไต หรือมีความผิดปกติของฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับปัสสาวะ
4. ความผิดปกติของระบบการขับถ่ายปัสสาวะ ซึ่งมักจะมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ปัสสาวะบ่อย
5. ปัญหาด้านสังคมและจิตใจ มักพบบ่อยว่าเด็กเคยหยุดปัสสาวะรดที่นอนไปแล้วแต่กลับมาเป็นใหม่ มีสาเหตุจากความเครียด ไม่ว่าจะเป็นการย้ายที่อยู่ ย้ายโรงเรียน มีน้องใหม่ เป็นต้น
         หากเป็นสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับพันธุกรรมหรือพัฒนาการล่าช้า สุดท้ายเด็กจะคุมการปัสสาวะได้เองในที่สุด แต่การรักษาอาจจะช่วยลดผลกระทบทางจิตใจ เช่น ความรู้สึกด้อยค่าในตัวเอง ความเครียดของครอบครัว
          ดังนั้น แนะนำว่าคุณแม่ควรพาลูกไปพบคุณหมอเด็กนะคะ เพื่อให้คุณหมอสอบถามประวัติเพิ่มเติม รวมทั้งตรวจร่างกายและส่งตรวจเพิ่มเติมตามความจำเป็น เพื่อที่จะได้หาสาเหตุและทำการรักษาตามสาเหตุต่อไป
           สำหรับการรักษาจะมีทั้งในส่วนของการรักษาด้วยยาและไม่ใช้ยา หรือเรียกว่าพฤติกรรมบำบัด โดยคุณหมอจะเป็นผู้พิจารณาถึงความเหมาะสมในการรักษาค่ะ(พรพิมล นาคพงศ์พันธุ์. ออนไลน์.  2554)


อย่าวางใจโรคปอดอักเสบ


         ปอดอักเสบ หรือบางครั้งเรียกว่าปอดบวม เป็นโรคที่ฟังดูคุ้นเคย ฟังดูแล้วไม่น่าจะเป็นโรคที่ร้ายแรง รักษาให้หายได้ แต่ถ้าเกิดขึ้นในเด็กเล็ก ประกอบกับพ่อแม่ชะล่าใจ แล้วปล่อยให้อาการหนัก อันตรายก็จะทบทวีทีเดียวค่ะ


e_07.pngปอดอักเสบมาได้อย่างไร
          คุณพ่อคุณแม่หลายคนคงทั้งสงสัยและประหลาดใจว่าทำไมลูกน้อยถึงเป็นโรคปอดอักเสบได้ ทั้งๆ ที่ไม่ได้วิ่งตากฝน ไม่ได้นอนแช่น้ำนานๆ หรือไม่ได้เกี่ยวข้องกับโรคนี้  สาเหตุที่พบได้บ่อยคือเกิดจากเชื้อไวรัส และเชื้อแบคทีเรียค่ะ ซึ่งเด็กๆ มีโอกาสติดได้ง่าย เพราะร่างกายยังมีภูมิต้านทานน้อยอยู่ เมื่อผ่านไปในสถานที่แออัด หรือใกล้ชิดกับผู้ที่มีเชื้อ ก็อาจจะติดโรคมาได้โดยง่าย ยิ่งถ้าเด็กเล็กเกิดการติดเชื้อก็ยิ่งน่าเป็นห่วงค่ะ

เบบี้เป็นแสนอันตราย
         การที่ลูกน้อยเป็นโรคปอดอักเสบ แล้วอาการรุนแรงเนื่องมาจาก ในเด็กเล็กจะมีท่อทางเดินหายใจเล็กกว่าผู้ใหญ่ ซึ่งเพียงเสมหะปริมาณน้อย ก็สามารถทำให้ท่อทางเดินหายใจอุดตันได้ และทำให้เป็นปอดอักเสบได้ง่ายกว่าเด็กโตหรือผู้ใหญ่แล้ว  แต่อาการของโรคบางครั้งมักไม่แตกต่างกับไข้หวัด แต่จะมีอาการหอบ หายใจเหนื่อยร่วมด้วย คุณพ่อคุณแม่จึงต้องรู้จักสังเกต

เหนื่อย หอบ หายใจเร็ว อาการเด่น
        เนื่องจากอาการบางอย่างคล้ายคลึงกับไข้หวัด แต่จะมีอาการไอ หอบ และมีไข้ร่วมด้วย จึงต้องสังเกตจากการหายใจของลูกว่ามีความผิดปกติ หรือมีอาการเหนื่อยหอบร่วมด้วยหรือไม่ โดยอาการแรกที่สังเกตได้คือหายใจเร็ว

อายุ
การหายใจ
อายุน้อยกว่า 2 เดือน
หายใจเร็วมากกว่า หรือเท่ากับ 60 ครั้ง/นาที
อายุ 2 เดือน – 1 ปี
หายใจเร็วมากกว่า หรือเท่ากับ 50 ครั้ง/นาที
อายุ 1 ปี – 5 ปี
หายใจเร็วมากกว่า หรือเท่ากับ 40 ครั้ง/นาที
         นอกจากนี้ในเด็กบางคนอาจมีอาการหายใจลำบาก หายใจอกบุ๋ม จมูกบาน ส่วนในรายที่เป็นมากจะพบว่ามีอาการริมฝีปากเขียวร่วมด้วย
ไวรัส แบคทีเรีย สาเหตุที่ตรวจได้
         โดยทั่วไปขั้นต้นจะอาศัยประวัติ และการตรวจร่างกายเป็นหลัก จากนั้นจึงจะส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น การตรวจนับเม็ดเลือดและการตรวจภาพรังสีทรวงอก จะสามารถช่วยบอกได้ว่าเป็นไวรัสหรือแบคทีเรียได้  ซึ่งไวรัสจะตรวจจากสิ่งคัดหลั่งในจมูก ส่วนแบคทีเรียตรวจจากเสมหะของผู้ป่วยมาย้อมสีหรือเพาะเชื้อ เพื่อการรักษาที่เหมาะสม(เมธาวี. ออนไลน์. 2554)
e_08.pngสัญญาณเตือนว่าหนูน้อยต้องใส่แว่นตา

     เชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่ หรือผู้ปกครอง หลายคน คงเคยสงสัยอยู่ เหมือนกันว่า จะรู้ได้อย่างไรว่า หนูน้อยในปกครองของเรา ถึงเวลาต้องใส่แว่นตาหรือยัง เพียงแค่เจ้าตัวเล็กบอกว่า มองตัวหนังสือบนกระดานดำ ไม่ชัดนั้นพอแล้วหรือเปล่า หรือว่าอาจมีอาการบอกเหตุอื่นๆ เตือนมาบ้าง

     ข้อมูลจากเว็บไซต์เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ ผู้บริโภคของมหาวิทยาลัยไอโอวา มีคำแนะนำ ให้ผู้ปกครอง สำหรับเป็นแนวทางให้ลองทดสอบ หรือลองสังเกตเกี่ยวกับปัญหาสายตา ของเด็กๆ ดังนี้
·         ถ้าเด็กๆ ชอบขยี้ตามากเกินไป
·         บางทีก็ชำเลืองมอง หรือหรี่ตาข้างหนึ่ง เพื่อมองอะไร
·         ชอบถือวัตถุสิ่ง ของเข้ามาใกล้ชิดติดตา
·         มักจะกะพริบตาถี่ๆ เมื่อทำงานใช้สายตา หรือบ่นว่าปวดหัว เวียนศีรษะ
·         บ่นว่าคันตาหรือแสบตา
·         และสุดท้ายคือบ่นเรื่องมองเห็นภาพไม่ชัด มองเห็นภาพซ้อน
อาการเหล่านี้คงเป็นสัญญาณเตือนที่พอจะช่วยบอกได้บ้างว่า หนูน้อยเริ่มมีปัญหาต้องพึ่งแว่นสายตา
(สัญญาณเตือนว่าหนูน้อยต้องใส่แว่น. ออนไลน์. 2548)












e_09.pngปัญหาสุขภาพด้านพฤติกรรม อารมณ์และสติปัญญา
ปัญหาพฤติกรรมของเด็กวัย 1-3 ปี

ลักษณะพฤติกรรมเด็กวัย 1-3 ปี
        จากการศึกษาพัฒนาการและพฤติกรรมของเด็กวัย 1-3 ปี พบว่า เด็กวัยนี้มีการเจริญเติบโตของเซลล์ประสาทอย่างรวดเร็ว โดยมีการสร้างเส้นใยประสาทและจุดเชื่อมต่อ (synapse) ของใยประสาท ซึ่งใยประสาทเหล่านี้มีผลต่อการเรียนรู้ ความคิด ความจำ ตลอดทั้งพฤติกรรมและพัฒนาการของเด็ก ประกอบกับธรรมชาติของเด็กวัยนี้เริ่มมีกิจกรรมต่างๆ เกิดขึ้นมากมายจากการค้นคว้า และสำรวจสิ่งใหม่ๆ รอบตัว มีความเป็นตัวของตัวเอง มีความพร้อมทางทักษะของพัฒนาการมากขึ้น สามารถยืน เดิน วิ่ง ได้ด้วยตนเอง โดยที่เด็กรู้สึกว่าตนเองสามารถควบคุมเหตุการณ์ต่างๆ ได้ และเกิดความภาคภูมิใจในงานที่ตนเป็นผู้กระทำสำเร็จ บางครั้งอาจพบว่าเด็กแสดงปฏิกิริยาตอบโต้กับเหตุการณ์ต่างๆ บางอย่างไม่เหมาะสม ซึ่งแสดงออกมาในรูปของพฤติกรรมที่เป็นปัญหาได้ ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าเด็กวัยนี้เป็นวัยที่สำคัญต่อการพัฒนาพฤติกรรมและการเรียนรู้ทักษะของพัฒนาการในทุกด้าน

         ซึ่งปัญหาของพฤติกรรมที่เกิดขึ้นกับเด็กวัยนี้ เป็นปัญหาที่ค่อนข้างเข้าใจง่าย ไม่สลับซับซ้อน ส่วนใหญ่เป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโต และพัฒนาการ จะเป็นลักษณะของการปรับตัวต่อสภาพแวดล้อม ซึ่งถ้าเด็กได้เรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมอย่างไม่เหมาะสม โดยขาดการดูแลเอาใจใส่จากพ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูแล้วนั้น ก็อาจจะก่อให้เกิดปัญหาทางพฤติกรรมขึ้นอย่างง่ายดาย ตลอดทั้งสภาวะการณ์ทางสังคมในปัจจุบันมีสิ่งล่อแหลมต่อการเกิดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม พ่อแม่มีทัศนคติต่อเทคโนโลยีค่อนข้างมาก โดยเน้นที่วัตถุมากกว่าการมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กโดยตรง ขาดการดูแลเอาใจใส่ ขาดความเข้าใจในพัฒนาการและมีวิธีการเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสม สิ่งเหล่านี้มีผลต่อปัญหาทางพฤติกรรมและอารมณ์ของเด็กทั้งสิ้น

ชนิดของพฤติกรรมที่เป็นปัญหา   อาจจำแนกตามสาเหตุได้ดังนี้

1.       พันธุกรรม ปัญหาลักษณะทางพันธุกรรมบางอย่าง เช่น เด็กกลุ่มอาการดาวน์ เด็กกลุ่มนี้มี
ระดับสติปัญญาต่ำกว่าเด็กปกติ เรียนรู้ช้า มีความสนใจสั้น มีพฤติกรรมอยู่ไม่นิ่ง ไม่มีสมาธิ เด็กเหล่านี้มีการเคลื่อนไหวช้ากว่าปกติ ไม่คล่องตัวเนื่องจากกล้ามเนื้ออ่อนปวกเปียก

2.       สิ่งแวดล้อม พฤติกรรมที่เป็นปัญหาส่วนใหญ่ มักมีสาเหตุมาจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็ก
แทบทั้งสิ้น สภาพครอบครัว การเลี้ยงดูของคุณพ่อคุณแม่ ผู้ปกครอง มีอิทธิพลสูงต่อพฤติกรรมที่เกิดขึ้น สิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม หรือไม่เอื้ออำนวย ทำให้เกิดสภาพความกดดัน และมีผลต่อการปรับตัวของเด็ก บางครั้งจะพบว่าเด็กได้รับการดูแลเอาใจใส่ที่มากเกินไป (overprotection) หรือน้อยเกินไป(neglected) หรือขาดการกระตุ้นที่เหมาะสม (improper stimulation) ตามสภาพของเด็กแต่ละคน (
จันท์ฑิตา พฤกษานานนท์. ออนไลน์. 2548)
e_10.png 



ได้เวลาฝึกวินัยเรื่องการนอน

         ลูกวัยซน รักที่จะเล่นและตื่นตัวกับการเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวอยู่ตลอดเวลา ทำให้ความต่อต้านการนอนที่เพิ่มพูนขึ้น เด็กวัยนี้จึงไม่อาจข่มตาให้หลับได้ในเวลาที่สมควรแก่การนอน แม้จะง่วงงุนเพียงใดเขาก็ยังคงฝืนที่จะตื่นอยู่ตลอดเวลาให้ได้ ก็เขากำลังสนุกอยู่นี่
ยิ่งถ้าพ่อแม่คนไหนตามใจ ไม่ฝึกให้ลูกนอนเป็นเวลาจนติดเป็นนิสัยแล้วล่ะก็ พอถึงวัยเข้าโรงเรียน การพักผ่อนยามกลางคืนที่ไม่เพียงพออาจทำให้เขาไปนั่งหลับที่โรงเรียน จนเรียนไม่ทันเพื่อนได้

ทำไมไม่นอนซักที
นอกจากห่วงเล่นจนไม่เป็นอันนอนแล้ว ยังอาจมีสาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้เด็กไม่อยากนอนตอนกลางคืน เช่น กลัวความมืด กลัวสัตว์ประหลาด กลัวว่าพอหลับแล้วจะถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว ฝันร้าย หรือไม่ก็เพราะห้องที่จัดให้นอนสว่างเกินไป เรื่องนี้ น.พ.นที รักษดาวรรณ เคยกล่าวไว้ใน M&C แม่และเด็ก ถึงเรื่องราวของการไม่ยอมนอนว่า
         สาเหตุหลัก 3 ประการที่พบได้บ่อย คือ เด็กงอแงไม่ยอมนอนเนื่องจากพ่อแม่ไม่เข้มงวดเรื่องเวลาเข้านอน (Inadequate limit setting), เด็กไม่ยอมนอนหลับถ้าไม่มีของทีคุ้นเคยหรือสถานการณ์ที่คุ้นเคย (Sleep onset association) และสำหรับเด็กเล็กอาจมีสาเหตุจากการที่พ่อแม่ให้นมลูกมากเกินไปเวลานอน (Excessive nocturnal fluids) ปัญหาดังกล่าวสามารถแก้ไขได้อย่างง่ายดาย หากพบและจัดการกับปัญหาในระยะแรกได้อย่างรวดเร็ว
        ในเด็กอายุมากกว่า 2 ปี มักปฏิเสธ งอแงไม่ยอมเข้านอน เขาจะมีความสามารถในการหาเหตุผลร้อยแปดพันประการมาเป็นข้ออ้างไม่ยอมนอน เช่นขอให้กอด” “ขอนมอีกแก้ว” “ขอเปิดไฟ ขอปิดไฟ” “มีอะไรสำคัญจะบอกพ่อแม่บางครั้งก็ไม่ทราบว่าลูกมีข้ออ้างต่างๆ นานา ทำให้ระยะเวลาเข้านอนล่าช้าลง พ่อแม่ไม่สามารถผัดผ่อนหรือห่างจากเตียงลูกได้
        การแก้ไข ขอให้เริ่มจากพ่อแม่มีความเข้าใจธรรมชาติของการนอนในเด็กให้ถูกต้อง (parental education) การนอนหลับแม้เป็นเรื่องของธรรมชาติ แต่การนอนให้ดีเกิดจากการเรียนรู้ด้วย เด็กต้องเรียนรู้ที่จะนอนให้ได้ดี และปัจจัยที่ทำให้เด็กนอนได้ดีหรือไม่ดีเกิดจากตัวเด็กเอง นั่นคือการทำงานของสมอง บุคลิกภาพพื้นฐาน อารมณ์ของเด็ก และวิธีการเลี้ยงลูกของพ่อแม่และวัฒนธรรมการเลี้ยงเด็ก ถ้าพ่อแม่เคร่งครัดเรื่องเวลาเข้านอน (bedtime) และการเตรียมตัวก่อนเข้านอน (bedtime routine) ให้กับลูก ลูกก็จะไม่มีปัญหาเรื่องเด็กงอแงก่อนเข้านอนและจะหลับได้ง่าย

e_11.pngสัญญาณบอกว่าเริ่มมีปัญหาแล้ว
แม้ 20 – 30 เปอร์เซ็นต์ของเด็กเล็กจะมีปัญหาเรื่องการไม่ยอมนอน แต่ถ้ามีสิ่งต่อไปนี้เกิดขึ้นเป็นประจำ ควรตั้งข้อสังเกตว่าการนอนของลูกน่าจะมีปัญหาจนน่าจะต้องมาจัดระเบียบเรื่องการนอนกันแล้วล่ะ
- พ่อแม่ต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างมากเพื่อให้ลูกเข้านอน
- ลูกของท่านตื่นตลอดเวลา หรือตื่นบ่อยครั้งตลอดคืน
-ลูกมีปัญหาเรื่องพฤติกรรมและอารมณ์จากการอดนอน
-พ่อแม่และคนในครอบครัวต้องอดนอนเพราะวุ่นวายกับเรื่องการนอนของเจ้าตัวน้อย  
-การนอนของลูก และการอดนอนของพ่อแม่ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูกแย่ลง

ได้เวลาฝึกวินัยเรื่องการนอน
           การจะฝึกให้ลูกรู้ว่า ถึงเวลาต้องนอนแล้ว อาจจะเป็นเรื่องยากในตอนเริ่มต้น จนบ่อยครั้งที่คุณพ่อคุณแม่เป็นฝ่ายยอมแพ้ ปล่อยลูกไม่ต้องนอนตามใจ เรื่องแบบนี้ถึงตัวลูกจะไม่เดือดร้อนอะไร แต่คุณแม่คุณพ่อที่ไม่เป็นอันนอนไปด้วยนี่สิจะแย่ เพราะเช้ามาต่างก็ต้องไปทำงาน แต่จะใช้การขู่บังคับหรือตี ก็ดูจะโหดไปสักหน่อย แล้วผลที่ได้ก็อาจเป็นการอาละวาดหนักขึ้นไปอีกแทนที่ลูกจะหลับในครึ่งชั่วโมง ก็จะกลายเป็นดื้ออยู่นานกว่านั้น ทางเลือกที่เหมาะที่สุด น่าจะเป็นการปรับอารมณ์ให้ลูกรู้สึกอยากนอน เริ่มจากพอได้เวลานอนก็ปิดไฟดวงใหญ่ซะ แล้วเปิดไฟสลัวๆ พาลูกเข้านอนพร้อมกับร้องเพลงหรืออ่านนิทานให้ฟัง  
โดยมากแล้วเด็กจะหลับง่ายขึ้น หากคุณแม่ใช้เวลา 15 - 30 นาทีก่อนเข้านอน อยู่กับเขา งดกิจกรรมที่น่าตื่นเต้น แล้วเปลี่ยนมาอ่านนิทานให้ลูกฟังแทน หากจะมีกิจกรรมอื่นๆ ทำร่วมกัน ก็ไม่ควรเป็นกิจกรรมที่ต้องออกแรงอย่าง กระโดด วิ่ง ไม่ควรเล่าเรื่องหรือให้เด็กดูการ์ตูนที่น่าตื่นเต้น ควรกำหนดเวลาที่แน่นอน ที่จะใช้ร่วมกันก่อนเข้านอน และจะไม่ใช้มากกว่านั้น การที่ลูกขอร้องเพิ่มเติม เช่น ขอให้เล่านิทานต่อ ขอน้ำส้ม หรือนมต่ออีกแก้ว จะทำให้เวลาเข้านอนช้าออกไป พ่อแม่ไม่ควรทำตามใจลูก ช่วงแรกๆ อาจจะใช้เวลานานสักหน่อย หรือไม่ก็เจอปัญหาที่เด็กขัดขืนไม่ยอมนอนนิ่งๆ บนที่นอน แต่หากคุณทำได้อย่างสม่ำเสมอ ลูกก็จะค่อยๆ คุ้น และหากคุณทำได้สำเร็จก็เท่ากับว่าคุณได้สร้างให้เขามีวินัยรู้จักการนอนเป็นเวลา เด็กส่วนมากจะมีตุ๊กตา หรือของเล่นชิ้นโปรดอยู่ด้วย คุณแม่ควรพาลูกเข้านอนพร้อมเจ้าตุ๊กตาตัวโปรดลูกจะหลับได้อย่างสงบ นอกจากนี้เจ้าตุ๊กตาตัวโปรดจะเป็นผู้ช่วยชั้นดีของคุณพ่อคุณแม่ได้ เพราะเมื่อลูกตื่นมาตอนดึก แล้วพบกับสิ่งของ เช่น ผ้าห่มหรือของเล่นที่คุ้นเคย ก็จะความรู้สึกอุ่นใจพอที่หลับต่อไปได้ โดยพ่อแม่ไม่ต้องอยู่ด้วย

e_12.pngไม่นอนกลางวันตื่นในตอนค่ำ
        นอกจากตอนกลางคืนแล้ว เด็กวัยเริ่มเดินได้คล่องแต่ยังไม่ถึงวัยเรียนยังนอนกลางวันน้อยลงด้วย ในบางวันลูกอาจเล่นเพลิน จนไม่ยอมนอนกลางวัน  หรือไม่ก็เล่นมากในช่วงค่ำ จนล่วงเลยเวลานอนแล้ว ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะง่วงซักที บางครั้งลูกจะโยเยรบให้คุณแม่คุณพ่อทำโน่นทำนี่ให้ก่อน กว่าจะหลับได้ คุณแม่ก็เหนื่อยแสนเหนื่อย   เด็กกลุ่มนี้มักจะหลับตอนกลางวันแค่ครั้งเดียว และหลับในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ด้วย แถมเวลาตื่นขึ้นมายังง่วงงุนอาละวาด โดยเฉพาะเจ้าตัวเล็กที่นอนดึกแล้วตื่นเช้า เด็กพวกนี้มักง่วงอีกในตอนสาย และฝืนเล่นไปจนเย็นแล้วก็หมดแรงหลับเอาตอนนั้น ซึ่งจะทำให้เกิดวงจรนอนดึกอีกเพราะเขาจะตื่นในตอนค่ำพร้อมๆ กับพลังงานที่ชาร์จไว้เต็มที่  กรณีนี้คุณแม่ควรถ่วงเวลาการนอนช่วงสายของลูกไว้ให้นานที่สุด คืออย่าให้ลูกนอนก่อน 11.00 น. ทางที่ดีควรให้เข้านอนหลังจากรับประทานอาหารกลางวัน และให้ลูกได้นอนสัก 2 ชั่วโมง เพื่อกันไม่ให้เขาง่วงหลับในช่วง 5 - 6 โมงเย็น ซึ่งจะทำให้ลูกกลายเป็นลูกนกฮูกไม่ยอมนอนตอนกลางคืนได้  สำหรับพวกเด็กๆ แล้วการนอนไม่ใช่แค่การพักผ่อน เพราะฮอร์โมนชนิดหนึ่งที่จะช่วยให้เด็กเจริญเติบโต ที่เรียกว่า Growth Hormone จะหลั่งออกมามากที่สุดก็ในช่วงที่พวกเขาหลับสนิทนี่ล่ะ (ได้เวลาฝึกวินัยเรื่องการนอน. ออนไลน์. 2554)


ลูกชอบเล่นคนเดียวผิดปกติไหม

          ลูกอายุ 1 ขวบครึ่งชอบนั่งเล่นคนเดียวมีผลต่อสุขภาพกายสุขภาพจิตหรือไม่
          คุณไม่ได้บอกรายละเอียดว่าเด็กที่ชอบนั่งเล่นคนเดียวมีพี่น้องกี่คน  เป็นลูกคนที่ท่าไรหรือว่าเป็นลูกคนเดียว  สภาพแวดล้อเป็นอย่างไร  มีเพื่อนเล่นหรือไม่  การเลี้ยงลูกได้รับการเอาใจใส่แค่ไหน  เด็กที่ได้รับความรักความอบอุ่นอย่างสมบูรณ์ยากที่จะหลีกตัวไปเล่นคนเดียว  ถ้าเพราะสภาพแวดลอมทำให้ต้องเล่นคนเดียวจะมีปัญหาตอนเข้าโรงเรียน  แต่ถ้าเป็นสภาพแวดล้อมที่มีบุคคลรอบข้างช่วยให้ปฏิสัมพันธ์  ก็ยังชอบเล่นคนเดียว  ก็อย่าพึ่งด่วนสรุปเพราะอาจยังเล็กเกินที่จะไปเล่นกับคนอื่น  ให้เฝ้าสังเกตพฤติกรรมของเขาเรื่อยๆจนกว่าจะโตขึ้นอีกหน่อย  ถ้าพบว่าเขายังชอบเล่นคนเดียว  ค่อยหาวิธีแก้ไขต่อไป(รัจรี   นพเกตุ. ออนไลน์. 2553)
e_13.pngดุลูกมากไปมีผลเสียอย่างไร        

          ดิฉันมีลูกสาวอายุ  2 ขวบ 6 เดือน และหลานชาย 11  เดือน  ทั้งสองเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน  เลี้ยงรวมกัน  แต่นิสัยของลูกสาวไม่ชอบให้หลานชายมากวนใจและแย่งของเล่น  พอหลานชายมายุ่งกับลูกสาวเขาจะมีอาการโมโหร้ายแล้วก็ตีหลานชาย  แต่ก็ได้ดุว่าแล้วเขาก็กลัว  ดิฉันกลัวว่าถ้าดุลูกสาวมากไปจะทำให้เวลาเขาโตไปจะมีการต่อต้านหรือเปล่าค่ะ  คือคนบ้านี้รักลูกชายมากกว่าลูกสาวจะมีปมด้อยทั้งๆ ที่ลูกสาวดิฉันไม่ผิดแต่ดิฉันก็ต้องตีลูกสาวค่ะ  เพราะเขาเหมือนกับเป็นพี่สาวคนโต  ถ้าน้องร้องพี่คนโตก็จะโดนตี

        การที่คุณลงโทษเพื่อนในฐานะที่โตกว่าต้องผิดเสมอเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง  เป็นความคิดของคุณเองหรือว่าคุณเองหรือว่าคุณเกรงใจพ่อแม่ของหลาน  คุณต้องหยุดวิธีการเลี้ยงลูกแบบนี้เพราะจะมีผลตามมาแน่นอน  น้องก็ผิดได้เท่าๆ กับพี่  ถ่ลูกผิดทำโทษได้แต่ถ้าไม่ห้ามทำโทษและต้องเข้าใจว่าลูกยังเล็กเกินกว่าจะรู้จักการ
(รัจรี   นพเกตุ. ออนไลน์. 2553)

















e_14.pngการเสริมสร้างสุขภาพจิตใจหรืออารมณ์และสติปัญญาของเด็กปฐมวัย

Super Mom ของหนู

ด.ญ.ปิยพิชญา พาณิชผล (น้องเหม่เหม๋) อายุ 6 ขวบ
 “แม่ให้หนูได้ทำอะไร หลายๆ อย่างที่หนูชอบ”   “หนูรักหม่าม้ามากค่ะ เพราะหม่าม้าพาไปหาอาม่า พาไปเรียนหนังสือ ไปซื้อหนังสือ ชอบที่หม่าม้าสอนการบ้านวิชาคณิตด้วย แล้วหม่าม้ายังพาไปทำกิจกรรมบ่อยๆ ด้วยค่ะ ไปขี่ม้าที่หัวหิน เล่นกอล์ฟ เรียนไวโอลิน ตอนนี้หนูเล่นไวโอลินได้ 5 เพลงแล้วนะ ดีใจมากเลย
 How to be Super Mom : สร้างหนูเป็นนักกิจกรรมตัวจิ๋ว
         วัย 3- 6 ขวบ การให้ลูกได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงดีที่สุดค่ะ เช่น บางที่เราอาจพาเขาไปในสถานที่ที่แตกต่างกัน อย่างสถานีรถไฟฟ้า BTS รถไฟใต้ดิน หรือสถานีรถไฟหัวลำโพง ลูกก็จะได้เรียนรู้ว่ามันมีหลายแบบ อาจจะถามลูกว่า ลูกชอบแบบไหนมากกว่ากัน เพราะอะไร เขาจะได้ฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์ เปรียบเทียบ  ซึ่งคุณแม่อาจบอกว่าที่นี่เป็นสถานีขนส่ง หรือรถไฟเป็นยานพาหนะอย่างหนึ่ง ลูกก็ได้ความรู้ใหม่และได้พบเจอผู้คนหลากหลาย เพราะหากเขาได้รับประสบการณ์ ก็จะรับรู้โลกมากขึ้นและสามารถเอากลับมาเล่นที่บ้านได้ เช่น การเล่นบทบาทสมมติ แล้วหากคุณแม่เพิ่มเติมเรื่องคำศัพท์ ก็จะได้พัฒนาการทางภาษาไปในตัวจริงๆ แล้วกิจกรรมที่จะพาลูกไปนั้นเป็นอะไรก็ได้ค่ะ ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมของครอบครัว และความชอบของลูก เพียงแต่ขอแค่เรามีเป้าหมายที่ชัดเจน และไม่เป็นไปในเชิงบังคับน
ด.ช. เป็นเอก วิสุทธิกุลพาณิชย์ (น้องข้าวกล้อง) อายุ 6 ขวบ
หม่ามี้คุยสนุก ข้าวกล้องชอบให้หม่ามี้อ่านหนังสือให้ฟังครับ”  “ข้าวกล้องชอบคุยกับหม่ามี้ครับ หม่ามี้คุยสนุก คุยได้ตลอดเลย ก่อนนอนหม่ามี้จะอ่านหนังสือให้ฟังทุกคืน ข้าวกล้องจะกอดแล้วบอกไอเลิฟยูหม่ามี้ทุกวันเลยครับ
 How to be Super Mom : เปิดใจกัน...เชื่อมความสัมพันธ์แม่ลูก
การคุย การรับฟัง รวมถึงการกอด สัมผัส และบอกรักกันระหว่างคุณแม่กับคุณลูกจะช่วยให้ ความสัมพันธ์ที่มีต่อกันแน่นแฟ้นมากขึ้น เพราะหากมีปัญหาเกิดขึ้นเขาจะกล้าเปิดใจเล่าให้เราฟังเวลาคุณแม่คุยกับเขาจึงควรเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์มากกว่าการถาม ด้วยคำถามว่าอะไร ทำไม หรืออาจหาเรื่องขำๆ มาทายเล่นกัน ก็จะช่วยเสริมพัฒนาการ กระตุ้นความคิดได้ดี
        ส่วนการอ่านนิทาน เป็นกิจกรรมที่มีลูกเล่นเยอะมากค่ะ เช่น ให้ลองสลับกันอ่าน หรือเติมคำในช่องว่างแทนการอ่านให้เขาฟังเพียงอย่างเดียว ลูกจะรู้สึกว่าเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขด้วยกัน เพราะได้อยู่ใกล้ชิดกับคุณแม่ ที่สำคัญควรเลือกหนังสือที่อ่านง่ายๆ แล้วลองเปลี่ยนให้เขาอ่านให้น้องเล็กๆ ฟัง หรืออ่านให้คุณยายฟังบ้าง เพื่อไม่ให้ชินกับการที่คุณแม่อ่านให้ฟังมากเกินไปค่ะ(สิริพร. ออนไลน์. 2554)

เศรษฐกิจพอเพียงเริ่มต้นที่บ้าน

Image
e_15.pngคืนวันที่ 4 ธันวาคม 2548 พสกนิกรชาวไทยทุกคนล้วนตั้งหน้าตั้งตารอคอยฟังกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานแก่คณะบุคคลที่เข้าเฝ้าถวายพระพรเนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา  เป็นธรรมเนียมปฏิบัติทุกปี ที่พระองค์ท่านจะให้ข้อคิดดี ๆ เพื่อปวงชนชาวไทย
       ปีนี้ก็เช่นกัน จากพระราชดำรัสของพระองค์ท่านใจความตอนหนึ่งที่ทรงแนะให้พสกนิกรของพระองค์ยึดมั่นใน “เศรษฐกิจพอเพียง”ซึ่งเป็นพระราชกระแสรับสั่งเรื่องนี้มาแล้ว และพระองค์ท่านก็ได้ทรงปฏิบัติเป็นตัวอย่างมาโดยตลอด สมกับเป็นพ่อหลวงที่ยิ่งใหญ่ของปวงชนชาวไทยอย่างแท้จริง
    
       
พูดถึงเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงที่เป็นเรื่องที่รัฐบาลน่าจะดำเนินเป็นนโยบายระดับชาติ แต่ถ้ามัวแต่รอนโยบายระดับชาติล่ะก็ ลูกหลานเราก็อาจเติบโตขึ้นไปเป็นมนุษย์พันธ์วัตถุนิยมตามกระแสกันไปหมดซะแล้ว  ถ้าจะให้ดี...ควรเริ่มจากครอบครัวก่อนน่าจะดีที่สุด  ทำเป็นเล่นไป เด็ก ๆ ในยุคนี้สุ่มเสี่ยงที่จะเติบโตขึ้นไปเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่รู้จักคำว่าเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแน่ ถ้าหากพ่อแม่ไม่ปลูกฝังและไม่อบรมสั่งสอน
       มีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้เด็กในวันนี้มีโอกาสเติบโตเป็นมนุษย์พันธ์วัตถุนิยมที่ไม่เข้าใจคำว่าเศรษฐกิจพอเพียงได้  มี 9 ข้อ
    
      
1. เริ่มตั้งแต่ลืมตาดูโลก พ่อแม่ก็สุดแสนจะทะนุถนอม สรรหาสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูก ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ เครื่องใช้เครื่องมือสำหรับเลี้ยงลูกสารพัดชนิด ก็ล้วนแล้วแต่ข้องเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี หรือไม่ก็ต้องเป็นผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ล่าสุด และล่าสุดไปเรื่อยๆ
        2. เมื่อเริ่มโตเข้าสู่วัยเตาะแตะ ก็ต้องอาหารดีๆ ร้านหรูๆ หรือถ้าเป็นสิ่งของก็ต้องเป็นของเล่นดีๆ มีเทคโนโลยีใหม่สุดๆ เสื้อผ้าก็ต้องแบรนด์เนมหน่อยลูกจะได้ดูดี โดยไม่ต้องเอ่ยถึงราคา ถ้าเพื่อลูก พ่อแม่ยอมจ่ายไม่อั้นอยู่แล้ว ลูกต้องได้สิ่งที่ดีที่สุด
       3. พอเข้าสู่รั้วโรงเรียน ก็ต้องเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียง ต้องเรียน 2,3 หรือ 4 ภาษา ก็ยุคโลกาภิวัฒน์นี่หน่า รู้ภาษาหนึ่งหรือสองเท่านั้นพอที่ไหน ยิ่งถ้าลูกได้เรียนโรงเรียนชื่อดังที่อยู่ระดับชนชั้นนำด้วยล่ะก็ ลูกจะได้มี connection เยอะ
    
       4. ลูกเข้าสู่วัยรุ่น ถ้าเอนทรานซ์ไม่ติดไม่เป็นไรจ๊ะ สามารถเข้ามหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังที่มีตั้งหลายแห่ง หรือไม่ก็ไปเรียนต่างประเทศก็ได้ จะได้มีประสบการณ์ต่างแดนอีกต่างหาก แต่ขอเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อของประเทศนั้นๆ หน่อยละกัน
    
       5. ยามลูกเริ่มทำงาน เพื่อความก้าวหน้าก็ต้องอยู่บริษัทยักษ์ใหญ่ จะได้เจริญก้าวหน้ามีความมั่นคง จากนั้นก็เข้าสู่วังวน ซื้อบ้าน ซื้อรถ ก็แหม ทำงานหาเงินได้แล้ว จะให้นั่งรถเมล์หรือรถแท็กซี่ได้อย่างไร ดูไม่ดีซะเลย แล้วถ้ามีรถทั้งทีก็ขอมียี่ห้อเบิกทางให้ได้หน้าบานซะหน่อย อวดสาวอวดหนุ่มได้อีกต่างหาก
    
       6. ถึงวัยที่จะมีครอบครัว ก็ขอคู่ครองคนมีฐานะหน่อยละกัน จะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาก ยิ่งถ้าได้แต่งงานแล้วเป็นคุณนายเลยยิ่งโชคดีใหญ่ ว่าแล้วก็สวดมนต์ภาวนาดีกว่า และหากไม่ได้จริงๆ เอาเป็นว่าขอให้ได้บ้านได้รถ หรือมีเงินให้เป็นประจำ แต่ไม่ต้องเป็นภรรยาถาวร ก็ไม่เลว ไม่ต้องผูกมัดอีกด้วย
    
       7.  สภาพแวดล้อมโดยรวมยั่วยุน้ำลายเหลือเกิน ทั้งร้านค้า ห้างสรรพสินค้า ทั้งบนดิน ใต้ดิน ลอยฟ้า ต่างก็ขนสินค้าทุกประเภทมากระหน่ำขายซะขนาดนั้น ก็สวยๆ งามๆ ทั้งนั้น แถมยังลดราคากระหน่ำแล้วกระหน่ำอีก ใครจะอดใจไหว
    
       8. ไม่รวมอุปกรณ์ที่เอื้ออำนวยให้ใช้จ่ายแบบลืมตัวอีกเยอะแยะมากมาย ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิตที่ได้ถือโก้ๆ ด้วยเงื่อนไขสุดง่าย เวลาใช้ก็รูดปื้ดรูดปื๊ด ก็ได้สินค้าที่ต้องการแบบสุดแสนจะง่ายดายอีกต่างหาก ถึงเวลาจ่ายก็จ่ายแค่ 5 หรือ 10% สบายจะตาย นี่ยังไม่รวมโทรศัพท์มือถือที่เดี๋ยวนี้คนที่ไม่ใช้กลับถูกมองเป็นมนุษย์แปลกประหลาดไปซะแล้ว หนำซ้ำโปรโมชั่นโทรศัพท์มือถือก็สุดระห่ำ กระตุ้นต่อมความอยากของผู้คนซะอยู่หมัด
    
       9. พอมีลูกก็พาลูกเริ่มเข้าสู่โคจรวังวนตั้งแต่ข้อที่หนึ่งใหม่
e_16.jpg 


เด็กจะรู้จักเศรษฐกิจพอเพียงไหม
    
       
ถ้าค่านิยมในการบริโภคยังคงวนเวียนเป็นวัฏจักรเหล่านี้อยู่ล่ะก็เด็กๆ ยุคนี้จะเติบโตขึ้นไปแบบไหนกัน
ยังไม่ทันได้แตะเรื่องโครงสร้างนโยบายที่ผ่านมาของรัฐบาลก็ล้วนแต่เป็นตัวเร่งกระตุ้นให้ผู้คนบริโภคกันสุดฤทธิ์
       ฉะนั้น พ่อแม่ควรจะเริ่มต้นตั้งแต่ปลูกฝังให้ลูกรู้จักคำว่าพอเพียงตั้งแต่เล็ก ดิฉันนึกถึงประโยคที่คุณลูกชายวัยเกือบ 8 ปี ถามว่า “คุณแม่ครับ เศรษฐกิจพอเพียงแปลว่าอะไรครับ  คุณก็ควรตอบว่า ก็แปลว่าเราควรจะทำอะไรแต่พอเพียงไงครับ ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่ซื้ออะไรที่ไม่จำเป็น เราจะไม่ทำอะไรเกินตัว มีเท่าไรไม่ใช้เท่านั้น แต่มีเท่าไร เราก็ต้องมีเหลือไว้เพื่ออดออมในวันข้างหน้าด้วยเห็นได้ว่า เศรษฐกิจพอเพียงเริ่มง่าย ๆ ในครอบครัว
สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน. (เศรษฐกิจพอเพียงเริ่มต้นที่บ้าน. ออนไลน์. 2548)
e_17.jpg 







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น